วิธีดูแลรถยนต์ เมื่อจอดทิ้งไว้เป็นเวลานาน

วิธีดูแลรถยนต์

6 วิธีดูแลรถยนต์ เมื่อจอดทิ้งไว้เป็นเวลานาน ที่คุณอาจยังไม่รู้

การใช้รถยนต์ย่อมมีความเสื่อมไปตามกาลเวลา หรือจำนวนกิโลเมตรที่เมตร แต่การจอดรถไว้นิ่งๆเป็นเวลานาน สามารถสร้างความเสื่อมให้รถยนต์ได้เช่นกัน และต่อไปนี้คือ 6 วิธี เมื่อจอดทิ้งไว้เป็นเวลานานที่คุณอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน ไปดูกันว่าต้องดูแลรถที่คุณรักเมื่อต้องจอดทิ้งไว้เป็นเวลานานอย่างไรกันบ้าง

1.ข้อแรกคือสถานที่ สถานที่ที่ต้องจอดรถเก็บไว้ควรเป็นที่ร่ม มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือถ้าเป็นสถานที่ปิด ควรมีพัดลมระบายอากาศ หรือเปิดแอร์ไว้ที่ 25 องศา เพื่อประหยัดค่าไฟ และข้อเสียของการจอดรถไว้ในที่แจ้งหรือ ในที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวกจะทำให้ชิ้นส่วนของรถที่เป็นยางเสื่อมได้เร็วมาก เพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน

2.ควรทำความสะอาดรถให้เรียบร้อย ก่อนจอดไว ตัวรถต้องปราศจากคราบที่ฝังติดกับตัวรถ เพราะการที่จะเก็บรถเป็นเวลานานจะสามารถทำให้คราบต่างๆ ฝั่งลึกลงไปในสีของตัวรถได้

3.ควรมีการสตาร์ทรถอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งเป็นอย่างน้อย เพื่อให้ชิ้นส่วนของตัวรถมีการขยับบ้าง ช่วงล่างของโช๊คจะได้มีการขยับเพื่อป้องกันความสึกหรอและที่สำคัญ ควรวอร์มเครื่องให้ถึงอุณหภูมิปกติ เพราะส่วนมากความชิ้นจะฝังตัวอยู่ในท่อไปเสียทั้งหมด ซึ่งความชื้นพวกนี้จะทำให้เกิดสนิมได้ ถ้าเราไม่ได้วอร์มเครื่องให้อยู่ในอุณหภูมิที่ปกติ เพื่อให้ไปน้ำความชื้น ระเหยออกไปให้หมด

4.วิธีที่ 4 เราควรเติมลมยางล้อทั้ง4 ล้อให้มากกว่าปกติ เพราะน้ำหนักของตัวรถทั้งคันจะถูกเทลงไปที่แก้มยาง ถ้าเราเติมลมน้อยแก้มยางก็จะรับน้ำหนักของตัวรถมากขึ้น ทำให้โครงสร้างยางเสื่อมเร็วขึ้น สำหรับวิธีดูว่าเราควรจะเติมลมยางให้เยอะแค่ไหนโครงสร้างยางจึงจะปลอดภัย เราสามารถดูที่แก้มยางที่จะมีการระบุไว้ว่า MAX Presser สมมุติว่ายางของคุณเขียนไว้ว่ามี MAX Presser อยู่ที่ 50 psi นั่นหมายความว่ายางเส้นนี้สามารถรองรับความดันได้ถึง 50 psi  คุณก็สามารถเติมลมยางไว้ที่ 40 psi ก็เพียงพอแล้ว

5.ต้องเติมน้ำมันรถให้เต็มถังก่อนที่จะจอดไว้เป็นเวลานาน หลานคนอาจสงสัยว่าเราจะเติมน้ำมันให้เต็มถังไปทำไมถ้าไม่ใช้รถ คำตอบมันอยู่ตรงที่ถังน้ำมัน เพราะภายในถังน้ำมันจะมีชั้นอากาศและชั้นน้ำมันอยู่ ซึ่งถ้าเราเติมน้อยไปจะมีชั้นอากาศที่มาก ซึ่งชั้นอากาศที่มากจะเต็มไปด้วยความชื้น ที่สามารถจะก่อตัวขึ้นได้ ส่วนน้ำมันที่เลือกเติมถ้าเครื่องยนต์เป็นเบนซินให้เติมเบนซิน 95  เพราะถ้าเป็นแก๊สโซฮอล์จะสามารถระเหยออกไปจากถังได้ เมื่อทิ้งไว้เป็นเวลานาน ระดับความเข้มข้นส่วนผสมของเชื้อเพลิงมีโอกาสให้เปลี่ยนแปลงไปได้ทำให้ค่าออกเทนลดลง อาจทำให้เครื่องน็อก เดินไม่เรียบอัตราเร่งตก แต่เบนซิลจะไม่มีผลใดๆ

6. การชาร์ตแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นวิธที่สำคัญมากที่สุด ซึ่งการชาร์ตแบตเตอรี่ เราต้องดูก่อนว่ารถเราใช้แบตเตอรี่ชนิดไหน และวิธีดูว่าเป็นแบตเตอรี่ชนิดไหน เราก็ดูกันที่ฝาท้าย และเช็คดูว่าที่ดูแบตเตอรี่อยู่ด้านซ้ายหรือด้านขวา เช่นบางคันก็จะระบุว่า Li-ion ก็คือ ลิเทียมไอออน ซึ่งไม่ใช่แบตเตอรี่ธรรมดา ถ้าเป็นแบตธรรมดาจะเขียนว่า AGM เมื่อเรารู้แล้วว่าแบตเตอรี่เป็นชนิดไหน เราก็จะมาดูกันที่ตัวชาร์ต ซึ่งตัวชาร์ตก็จะมีทั้งแบตเตอรี่ธรรมดา และ ลิเทียมไอออน โดยอุปกรณ์การชาร์ตก็จะมรสายขั้วบวกและขั้วลบ และเราต้องหาจุดขั้วบวกและขั้วลบในรถของเรา โดยการเสียบเราต้องเสียบขั้วบวกก่อน แล้วจึงมาเสียบขั้วรถ จากนั้นเราจึงจะเสียบปลั๊กเข้าสู่ตัวชาร์ตได้ แล้วค่อยดูสัญญาณอย่างตัวชาร์ตว่าอยู่ในสถานะไหนแล้ว 

ส่วนในการถอดออกให้ถอดสายจากตัวชาร์ตออกก่อนเป็นอันดับแรก ตามด้วยถอดขั้วลบและขั้วบวกตามลำดับ และการที่เราต้องชาร์ตแบตเตอรี่ไว้ก็เพื่อป้องกันแบตเตอรี่เสื่อม หรือแบตเตอรี่หมดนั่นเอง แต่ถ้าเราไม่มีทีชาร์ตแบตเตอรี่เราก็ต้องสตาร์ทรถอย่างน้อย 1-2 ครั้ง

ทั้งหมดนี่คือ 6 วิธีในการดูแลรถยนต์เมื่อจอดเป็นเวลานาน เมื่อคุณกลับมารถของคุณก็จะอยู่ในสภาพพร้อมใช้เช่นเดิม

ติดตามบทความเรื่องรถได้ที่ รวมเรื่องรถ
เวปไซด์ automotive-story.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

พฤติกรรมทำร้ายรถยนต์แบบไม่รู้ตัว

รถยนต์

10 พฤติกรรมทำร้ายรถยนต์แบบไม่รู้ตัว 

ครั้งนี้เรามาพูดคุยถึงเรื่องที่คุณอาจไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า พฤติกรรมบางอย่างในการใช้รถของคุณจะทำร้ายรถยนต์สุดที่รักของคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว ไปดูกันว่าพฤติกรรมอะไรบ้างที่คุณต้องเปลี่ยน

1.สำหรับระบบออโต้ ส่วนใหญ่จะดึงเกียร์ P ก่อนที่จะดึงเบรกมือ แต่ที่ถูกต้องคุณต้องขึ้นเบรกมือก่อนถึงจะเข้าเกียร์ P เหตุผลคือ ถ้าหากเราเข้าเกียร์ Pเลย มันจะมีกระเดื่องอยู่ตัวหนึ่งที่ไว้ สำหรับล็อคเฟืองขับ ถ้าเราไม่ดึงเบรกมือไว้ก่อน มันจะเกิดอาการกระชากที่เฟืองตัวนั้น อาจจะทำให้อุปกรณ์ชิ้นนั้นเสียหายได้

2.ปล่อยให้น้ำมันหมดเกลี้ยงถังแล้วจึงจะเติม พฤติกรรมแบบนี้เกิดข้อเสียหลายอย่าง คืออาจจะเกิดสนิมในถังน้ำมันได้ หากทิ้งน้ำมันเหลือน้อยเป็นประจำ อีกข้อหนึ่งที่สำคัญคือ ปั้มติ๊กจะเสียเร็ว เพราะปั้มติ๊กรุ่นใหม่ๆส่วนใหญ่จะแช่อยู่ในถัง การระบายความร้อนของมันก็จะระบายลงน้ำมัน ซึ่งพอไม่มีน้ำมันตรงนั้นจะกลายเป็นอาหาศอย่างเดียว กลายเป็นมาปั้มติ๊ก ไม่มีน้ำมันมาคอยระบายความร้อน ทำให้มันเกิดร้อนสะสมในตัว อายุการใช้งานสั้นลง

3.สำหรับขาซิ่งทั้งหลาย ที่ชอบเปลี่ยนเกียร์ถอยหลังเป็นเดินหน้าทันที จะทำให้บรรดาเฟืองท้าย ชุดเกียร์ ชุดส่งกำลัง แทนที่จะแค่ใช้กำลังในการออกตัวกลายเป็นการใช้กำลังในการลบแรงที่ถอยหลังมาด้วย พฤติกรรมนี้จะทำให้เฟืองสึกหรอเร็ว

4.ไม่อุ่นเครื่องก่อนขับรถ ซึ่งก็อาจทำได้ แต่ไม่ควรใช้ความเร็วในการออกตัวช่วงแรก อาจจะอุ่นเครื่องในช่วงแรกๆที่ออกตัว แต่จะให้ดีควรอุ่นเครื่องก่อนออกตัว 1 นาที มันจะช่วยให้น้ำมันเครื่องอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม โดยเฉพาะรถที่ใช้แก๊ส จะส่งผลเสียกับหม้อต้ม เพราะแก๊สมันยังไม่ถูกต้ม ดังนั้นจึงควรอุ่นเครื่องก่อนขับ

5.การออกตัวอย่างรุนแรง พฤติกรรมแบบนี้ทำให้สึกหรอหลายประการ สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลง น้ำมันระบบเบรก เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

6.สำหรับรถเกียร์ธรรมดาที่ติดนิสัยชอบวางมือบนหัวเกียร์ ตรงนี้จะทำให้ระบบบูทเกียร์หลวม เพราะมันจะถูกเขย่าตลอดด้วยมือเรา

7.การเหยียบแช่คลัชไว้นานๆ หลายๆท่านติดนิสัยไม่ยกเท้าออกจากแป้นคลัช แต่จะแตะรอไว้ ซึ่งก็เหมือนการเหยียบคลัชไว้เบาๆ  มันจะทำให้ชุดคลัชถูกกินไปเรื่อยโดยที่ไม่รู้ตัว 

8.ขนของที่มีน้ำหนักใส่รถไว้จำนวนมาก คนบางคนชอบเก็บของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ไว้ในรถ  ทำให้รถต้องรับน้ำหนักของส่วนนั้นตลอดเวลา ซึ่งทำให้สูญเสียน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบช่วงล่างเสื่อม สปริง โช๊คอัพ จะสึกหรอเร็วกว่าปกติ

9.สำหรับท่านที่ใช้เกียร์ออโต้ เราควรจะสลับใช้เกียร์ตามความเหมาะสมบ้าง เช่นเกียร์ 1 เกียร์ 2 เกียร์ 3 ตามสภาวะ เพื่อให้รอบเครื่องเหมาะสมกับการใช้งาน

10.แป้นหน้าปัดในรถมีสัญญาณเตือนมากมาย ปกติเมื่อสตาร์ทแล้วไฟจะดับทุกดวงยกเว้นบางอย่าง แต่ถ้าวันหนึ่งวันใด สตาร์ทเครื่องแล้วไฟส่วนใหญ่ไม่ดับ เป็นข้อบ่งบอกว่าอาจจะเกิดปัญหา ถึงรถจะวิ่งต่อได้ แต่ไม่ควรละเลย

และทั้งหมดนี้คือ 10 พฤติกรรมที่ทำร้ายรถ รู้แล้ว ทราบแล้ว อย่าลืมสังเกตและเปลี่ยนพฤติกรรมกันให้ถูกต้อง เพื่อถนอมรถคุณให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

ติดตามบทความเรื่องรถได้ที่ รวมเรื่องรถ
เวปไซด์ automotive-story.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook