3 เรื่องที่คนขับรถต้องรู้!

รถ

3 เรื่องที่คนขับรถต้องรู้ ดูแลรถแค่พื้นฐาน ไม่ต้องดูแลเยอะ

3 เรื่องที่คนขับรถต้องดูวิธีดูแลรถในขั้นพื้นฐาน มีอะไรบ้าง มือใหม่ต้องรู้ไว้ไม่เสียหลาย รถจะได้ไม่เสียกลางทาง มาดูกันว่าคุณต้องทำอะไรบ้าง

1.เกี่ยวกับแบตเตอรี่

เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะทำให้ไม่เกิดรถดับกลางทาง รถเสียการทาง ซึ่งสาเหตุมาจากแบตเตอรี่หมด แบตเตอรี่พัง บางคนส่งสัยว่ารถที่เติมน้ำมันจะต้องมีแบตเตอรี่ไปทำไม ซึ่งแบตเตอรี่ทำหน้าที่จ่ายไฟให้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆในรถยนต์  รวมไปถึงการสตาร์ทรถ แบตเตอรี่ที่ดีจะช่วยทำให้สตาร์ทรถได้ง่ายขึ้น

แบตเตอรี่ในรถแต่ละคันจะอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกัน แบตเตอรี่ที่นิยมใช้กันเป็นแบตเตอรี่แบบแห้ง และแบบกึ่งแห้ง ถ้ามีสัญลักษณ์ SMF คือแบตเตอรี่แบบแห้ง และถ้าเป้ฯสัญลักษณ์ MF เป็นแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง

คำว่าแบตเตอรี่แห้งอย่าเข้าใจผิดว่าไม่มีน้ำอยู่ในแบตเตอรี่นะ เพราะแบตเตอรี่ทั้งแห้งและกึ่งแห้งจะมีน้ำกรดอยู่ภายในทั้ง 2 แบบ เพื่อทำปฏิกิริยาให้เกิดไฟฟ้า แต่ที่เรียกว่าแบตเตอรี่แห้ง เพราะถูกออกแบบให้ป้องกันการระเหยของน้ำ ทำให้ไม่มีช่องเติมน้ำกลั่น ส่วนแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง มีการเติมน้ำอยู่บางส่วนทำให้น้ำระเหยออกจากแบตเตอรี่ได้ ก็เลยมีช่องเผื่อไว้ให้เติมน้ำกลั่นกรณีที่ระเหย เปรียบเทียบกับแบตเตอรี่รุ่นเก่าๆ แบตเตอรี่แบบสองแบบนี้ก็จะดีกว่า

 ข้อดีของแบตเตอรี่แบบแห้งเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแล เพราะไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดชีวิตการใช้งาน และเหมาะกับคนที่ใช้ไฟในรถบ่อยๆ ทั้งการชาร์จมือถือ หรือใช้ไฟในรถเยอะๆ

สำหรับแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้งประสิทธิภาพเหมือนแบคเตอรี่แบบแห้งไม่แตกต่าง แต่ว่า แต่เพียงต้องเติมน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้ง เหมาะกับคนที่เป็นเจ้าของรถทั่วไป อย่างรถญี่ปุ่นที่ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าเยอะ ราคาจะถูกว่าแบบแห้งเล็กน้อย ทั้งสองอย่างประหยัดเวลาในการดูแล ไม่จุกจิก

2.เช็ดลมยาง เช็คคุณภาพของยาง

เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะถ้ายางไม่ดี ลมยางไม่ถูกต้องจะมีผลต่อการขับขี่และเกิดอุบัติเหตุได้ ถ้าลมยางแข็งเกินไป รถจะไม่เกาะถนน ลมยางที่อ่อนไปก็จะทำให้ยางระเบิดได้

รถแต่ละคันตำแหน่งที่บอกค่าลมยางไม่เหมือนกัน บางคันก็จะอยู่ตรงฝั่งคนขับ บางคันก็จะอยู่ที่ฝาเติมน้ำมัน โดยถ้ารถระบุเป็นค่าค่า kPa ถ้าเติมในไทยต้องเปลี่ยนเป็นค่า PSI ก่อน โดยเอาค่า KPa x0.14 ก็จะได้ค่าลมยางที่ต้องเติม

ลมยางจะมีแบบไนโตรเจน กับแบบธรรมดา ใครที่ไม่อยากเติมลมยางบ่อยๆก็เติมแบบไนโตรเจน

เรื่องของดอกยางก็สำคัญ ใครที่ไม่ได้ใช้ยางเปอร์เซ็นต์ หรือยางมือสองก็ไม่ต้องเช็คบ่อยๆ 10,500 กิโลเมตรค่อยเช็คสักครั้งได้ และวิธีที่เช็คง่ายๆก็ความรู้สึกของคุณ ถ้าขับรถแล้ว พวงมาลัยเริ่มหนัก รถเริ่มอืดก็หมายถึงว่าลมยางของเราอ่อน ถ้าเวลาเข้าโค้งแล้วรู้สึกว่ารถเหวี่ยงและไหล ก็อาจจะเป็นเพราะดอกยางไม่สมบูรณ์  ต้องนำรถไปตรวจเช็ค

3.เช็คของเหลวต่างๆให้เหมาะสม

โดยของเหลวต่างๆที่ต้องดูแลคือ น้ำมันเครื่อง  น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ น้ำยาหม้อน้ำ ซึ่งรายการเหล่านี้เราไม่ต้องลงมือทำเองให้ช่างเป็นคนทำให้

โดยน้ำมันเครื่องต้องเปลี่ยนทุกๆ 8,000-10,000 กิโลเมตร ส่วนน้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ น้ำยาหม้อน้ำ เปลี่ยนทุกๆ 40,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับการใช้งานและน้ำมัน

และของเหลวที่เราต้องเติมเองบ่อยๆก็คือน้ำฉีดกระจก โดยใช้แค่น้ำเปล่าธรรมดาไม่ต้องใส่น้ำยาเดี๋ยวหัวฉีดจะตัน

ของเหลวเหล่านี้ต้องเช็คให้ดี ซึ่งรถมหม่ๆสมัยนี้ หนาปัดจะมีการแจ้งเตือนว่า เราควรจะเปลี่ยนอะไรกัน

การตรวจเช็คสภาพรถพื้นฐานเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะผู้หญิงอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก ต้องเป็นเรื่องของผู้ชายหรือเปล่า? คำตอบคือไม่ใช่เลย เพราะทุกเรื่องที่เอามาแนะนำ เป็นเรื่องพื้นฐานของการขับรถที่ต้องรู้เอาไว้ และทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คุณคิดไว้เลยใช่ไหม  ดังนั้นอย่าได้ละเลยเป็นอันขาด

ติดตามบทความเรื่องรถได้ที่ รวมเรื่องรถ
เวปไซด์ automotive-story.com และสามารถติดตาม บทความอื่นๆที่น่าสนใจได้ทาง facebook

ลมยางที่เหมาะสมสำหรับรถยนต์คืออะไร ความสงสัยที่หลายคนอยากรู้

ลมยาง

คนส่วนใหญ่ที่ใช้รถยนต์โดยเฉพาะการขนของ และการโดยสารแบบปกติ ก็คงจะคิดอยู่เหมือนกันว่ารถยนต์ของเรานั้นควรจะเติมลมยางประมาณเท่าไรจึงจะเหมาะสมกับการใช้งาน แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีสอนอยู่ในคู่มือที่ตรงกับการใช้งานของคนขับขี่แต่ละคน แต่ส่วนใหญ่จะมาจากประสบการณ์ของผู้ใช้จริงโดยที่ผ่านระยะเวลามาสักพักหนึ่งจึงสามารถปรับยางให้เหมาะสมและสมดุลกับปริมาณในการเติมลม จึงได้นำเคล็ดลับความรู้ และข้อมูลเหล่านี้มาฝากกัน หวังว่าคุณทุกคนคงจะได้นำไปใช้งานในอนาคตกันทุกคน 

1. รถกระบะควรเติมลมยางประมาณเท่าไร 

เติมลมยางรถกระบะเท่าไหร่ การเติมลมยางสำหรับรถกระบะที่เหมาะสมนั้นหลายคนก็คงจะคิดว่า ควรจะเติมลมยางตามมาตรฐานเดิมของการใช้งานที่ถูกต้อง ซึ่งแน่นอนว่ารถกระบะแต่ละคันนั้นจะมีการบรรทุกที่แตกต่างกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนโดยตรง โดยเฉพาะการบรรทุกน้ำหนักที่มากเป็นพิเศษคุณก็ควรจะใช้ลมยางที่สูงมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งถ้าหากคุณไม่ได้บรรทุกอะไรเลยลมยางที่คุณควรจะใช้ก็คือประมาณ 35 – 40 ปอนด์ แต่ถ้าหากคุณบรรทุกประมาณ 7 – 10 คน คุณก็ควรจะเติมลมยางอย่างน้อย 43 – 55 ปอนด์ จะช่วยให้รถคุณนั้นเคลื่อนที่ได้สะดวกและประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น 

2. เติมลมยางรถเก๋งอย่างไร ถึงขับขี่นุ่มนวล และประหยัดน้ำมัน 

การเติมลมยางสำหรับรถเก๋งหรือยานพาหนะส่วนบุคคล นับได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันมากกับรถกระบะที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน รถกระบะส่วนใหญ่นั้นจะเน้นการประหยัดน้ำมัน และความแข็งแรงของโครงสร้างเพื่อให้รองรับน้ำหนักในการขนส่งแต่รถเก๋งน่าจะแตกต่างกัน คือการขับขี่ที่นุ่มนวล และการประหยัดน้ำมัน ขอแนะนำให้คุณนั้นใช้วิธีการเติมลมยาง 2 รูปแบบล้อหน้าให้คุณเติมอยู่ที่ 36 ส่วนล้อหลังให้คุณเติมอยู่ที่ 33 จะทำให้การขับขี่ของคุณนั้นนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น และประหยัดน้ำมันเนื่องจากการสมดุลของน้ำหนักรถของคุณจะเท่ากันมากที่สุดถ้าหากคุณเติมลมยางในลักษณะนี้ 

3. มาตรฐานของลมยางที่แท้จริงเป็นอย่างไร 

คุณเชื่อไหมว่าหลายคนมีความรู้เรื่องนี้น้อยมาก อย่างมาตรฐานจริง ๆ นั้นควรจะเติมลมอยู่ประมาณเท่าไร แน่นอนว่าถ้าหากไม่ใช่คนที่รักรถจริงก็อาจจะไม่ทราบ แต่ยางปกติขนาดเล็กมักจะมีแรงดันที่ต่ำกว่ายางล้อใหญ่อย่างแน่นอน ซึ่งจะอยู่ประมาณ 30 ปอนด์ ที่สามารถรับแรงดันได้ ส่วนยางขนาดกลางสำหรับรถเก๋งก็จะอยู่ประมาณ 36 ปอนด์ อันนี้แหละกำลังพอเหมาะสม ถ้าหากเป็นรถกระบะหรือรถขนาดใหญ่ก็เน้นไปทางด้าน 42 ปอนด์ขึ้นไปก็จะสามารถช่วยดูแลการยึดเกาะถนน และช่วยประหยัดน้ำมันได้เพิ่มขึ้นพอสมควรเลยทีเดียว 

สรุป 

การได้ขับรถยนต์ที่มีสมรรถนะที่ดีก็ต้องบอกเลยว่าเป็นความใฝ่ฝันของใครหลาย ๆ คนแต่อย่างไรก็ตาม ยางรถยนต์ก็ถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับการเดินทาง และการขับขี่ตลอดเส้นทางของคุณ เพราะฉะนั้นใส่ใจเรื่องลมยางรถยนต์สักหน่อย คุณจะได้ปลอดภัย และประหยัดน้ำมันในมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม 

ขอขอบคุณภาพจาก https://pixabay.com/

ติดตามบทความเรื่องรถได้ที่ รวมเรื่องรถ
เวปไซด์ automotive-story.com